Tuesday, December 18, 2018

เงินซื้อสวรรค์และนิพพานได้จริง





ศาสนาดำเนินมาได้เพราะใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อน และไม่เคยมีปรากฎว่าศาสนิกกลุ่มใดปฏิเสธการรับเงินบริจาค แม้จะไม่รับในนามปัจเจก แต่ก็รับในนามองค์กร ไม่ขอเงินบริจาค แต่ขายหนังสือธรรมะ ยิ่งกว่านั้น คนรวยมีโอกาสในการทำบุญมากกว่าคนจน เงินสามารถชื้อภาพลักษณ์ความเป็นคนดีได้ เงินยังเอื้อให้คนเข้าถึงความรู้ทางศาสนาที่ดีและเปิดโอกาสในการปฏิบัติธรรมได้มากกว่าคนจนที่ต้องคลุกกับการงานที่เหน็ดเหนื่อยทั้งวัน


การซื้อเนื้อมากินของคนพุทธและอ้างว่าตนไม่มีส่วนในการฆ่า (ศีลข้อปาณาติบาต) เป็นตัวอย่างที่ชัดมากว่า การมีเงินซื้อภาพลักษณ์ได้ สำหรับพวกเขาแล้ว เจ้าของธุรกิจและคนฆ่าปลาเท่านั้นที่เป็นคนบาป ถ้าถามง่ายๆ ว่า เงินซื้อปลาราคา 30 บาท เราซื้ออะไร? คำตอบคือ เราจ่ายค่าจ้างคนออกเรือ ค่าน้ำมัน อุปกรณ์ในการจับปลา พ่อค้าคนกลางและค่าเช่าที่ขายปลาเป็นต้น พูดให้ตรงคือ เราจ้างคนฆ่าแทนเราและให้นำปลานั้นมาจนถึงตลาด

ในสายตาคนไทย คนที่มีเงินซื้อปลาจึงไม่มีส่วนบาป คนจนที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ออกเรือ จับปลา เท่านั้นที่เป็นคนชั่ว  เหตุผลนี้ใช้ได้จริงและเขารอดจากการผิดศีลธรรมได้เพียงเพราะไม่ฆ่าและสั่งให้ฆ่าโดยตรง ฉะนั้น การมีฐานะที่ดีระดับหนึ่งช่วยล้างบาปให้เขาได้ โดยที่คนจนผู้ต้องจับหรือฆ่าปลากินเองหนีไม่พ้นบาปข้อนี้ เห็นไหมครับว่า เงินซื้อสวรรค์ได้

ผมเคยร่วมงานอบรมบาลีในกรุงเทพฯ เนื่องจากต้องเลี้ยงอาหารพระเณรราว 200 รูป วัดจึงเปิดโอกาสให้ผู้คนจองเป็นเจ้าภาพอาหารแต่ละมื้อ การเป็นเจ้าภาพก็แค่บริจาค/โอนเงินจำนวน 8,000 บาทให้วัด ส่วนการปรุงอาหาร ทางวัดจะจ้างแม่ครัวทำเอง ในวันนั้น เจ้าภาพแค่เดินทางมากรวดน้ำรับพร โดยไม่ต้องเหนื่อยอะไรมาก

เห็นไหมครับว่า เงินสามารถซื้อบุญได้อีกแล้ว นี่ไม่ใช่ความผิดของศาสนา แต่เป็นสัจธรรมที่ว่า หากเขามีเจตนาในการบริจาค ช่วยเหลือผู้อื่น สิ่งนั้นก็เป็นการกระทำที่ดี (หรือบุญ) ได้จริง ไม่ต่างกับชาวบ้านที่หิ้วปิ่นโตไปวัดในวันพระ เขาต้องซื้อข้าว แกง ขนม ผลไม้ฯลฯ บุญที่จะได้มาต้องแลกด้วยเงินครับ

คนรวยเข้าถึงธรรมะได้มากกว่า
อุบาสิกาวิสาขาและเศรษฐีอนาถปิณฑิกะ เป็นบุคคลตัวอย่างของฆราวาสผู้สนับสนุนพุทธศาสนา โดยเฉพาะคนหลังนี้ถึงกับเอาเงินทองมาปูเพื่อซื้อที่สร้างวัดเชตวัน แม้จะยากจนถึงขั้นกินน้ำผักดองก็ไม่เลิกศรัทธาในพุทธศาสนา สิ่งนี้สะท้อนว่า เราไม่ควรด่าธรรมกายที่บอกให้คนทำบุญมาก เพราะตัวอย่างที่ธรรมกายใช้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนาจริงๆ ถ้าธรรมกายเพี้ยน พุทธศาสนาก็เพี้ยนครับ อิอิ

จริงๆ แล้ว ศาสนาเติบโตเพราะคนรวย คนเหล่านี้ช่วยในการสร้างวัด ซึ่งเอื้อต่อการรวมกลุ่มของพุทธบริษัทและง่ายต่อการเผยแพร่คำสอน เมื่อเทียบกับพระต้องอยู่แบบปัจเจกในป่า ต่อให้อ้างว่า ศีลและภาวนามีผลมากกว่าการบริจาคทาน แต่ทานที่เป็นวัตถุหรือเงินก็สำคัญไม่น้อยกว่ากัน เช่น พระของสันติอโศกไม่รับเงินในแง่ปัจเจก แต่ยังต้องการเงินจำนวนมากเพื่อขับเคลื่อนบุญนิยมทีวีและโครงการต่างๆ

พูดให้ง่ายคือ หากไม่มีคนรวยช่วย ศาสนาอยู่ยากมาก เห็นไหมครับว่า ความรวยมีส่วนช่วยให้ขึ้นสวรรค์มากแค่ไหน

ในแง่เป้าหมายสูงสุดของศาสนาหรือวิปัสสนา อาจแย้งว่าไม่ได้ตัดสินกันที่ฐานะความยากจนร่ำรวย (ทุกศาสนาพูดเช่นนี้) แต่คนมีเงินเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าถึงหนังสืออันเป็นแหล่งความรู้ที่จริงแท้ได้ คนจนจำนวนมากต้องอยู่กับพิธีกรรมแบบพุทธปลอมๆ และการไหว้ผีที่พุทธแท้รังเกียจ การไปวัดเพื่อฟังธรรมหรือเข้าถึงวิทยากรที่มีความรู้ ตลอดจนเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมก็ใช้เงินอีกเช่นกัน ต่อให้ฟรี ก็มีค่าพาหนะ ค่าทำบุญ ค่าซื้อชุดขาว

และคนรวยหรือพอมีฐานะเท่านั้น ที่จะมีเงินสำรองมากพอจนสามารถหยุดทำงานหาเลี้ยงชีพ และเข้าร่วมคอร์สปฏิบัติธรรมหรือเดินจาริกแสวงบุญเพื่อการตื่นรู้เป็นต้นได้

กล่าวคือ ถ้าเป็นคนจน ก็จะใช้ชีวิตในนา ปลูกผัก จับปลา ทำงานโรงงาน รับจ้าง ขายของข้างทาง โอกาสที่จะได้หาความรู้อภิธรรม เข้าถึงหนังสือพุทธทาส ปยุตโต หลวงตามหาบัวฯ หรือมีเวลาอ่าน ตลอดจนทำใจให้นิ่ง รู้ทันสภาวะเกิดดับของอารมณ์ก็ยากขึ้น เพราะภาระการงานที่หนักและสภาพแวดล้อมไม่เป็นกัลยาณมิตร (สัปปายะ) ยังจะเถียงไหมครับ ว่าความรวยเปิดโอกาสให้เข้าสวรรค์หรือนิพพานมากกว่า?

ถ้าไม่แน่ใจ ลองดูประวัติพระสาวก 80 รูป และภิกษุณีว่าผู้ที่บรรลุอรหันต์และได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่มาจากวรรณะไหน รวยหรือจน

ที่กล่าวมานี่เป็นเพียงมิติหนึ่งของการตีความศาสนาที่พบในบ้านเรา ผมไม่ได้แย้งว่าคนจนขึ้นสวรรค์หรือนิพพานไม่ได้ แค่เสนอว่า คนรวยซื้อความสะดวกสบายและโอกาสในการเข้าถึงได้มากกว่า ไม่เพียงแต่ธรรมะในแง่องค์ความรู้หรือสภาวะภายในเท่านั้น แต่กรณีของการมีเงินซื้อปลาเป็นต้น ก็ช่วยให้ขึ้นสวรรค์ได้โดยไม่ต้องละเมิดศีลข้อแรก (ตามการตีความของคนไทย) ขณะที่คนจนซื้อสวรรค์และนิพพานเช่นนี้ไม่ได้

เราควรเลิกดูถูกเงินเพื่อจะชำระศาสนาให้สะอาด ศาสนาที่เป็นองค์กรแล้วจำต้องใช้เงินในการขับเคลื่อน ไม่ว่าของพระหรือฆราวาส (ต่อให้พระไม่รับเงิน ก็ต้องมีคนมารับแทน) ที่สำคัญ เลิกพูดว่า “แม้มีเงินก็ไม่มีความสุขหากไม่มีจริยธรรม” เพราะไม่มีเครื่องมือพิสูจน์ความสุขภายในได้ว่าคนรวยสุขน้อยกว่าคนจน

แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้กับตาคือ คนรวยที่เข้าถึงอาหาร การศึกษาและโรงพยาบาลดีๆ มีชีวิตที่ดีกว่าคนจนที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกินและไม่ทราบว่าหากป่วยจะต้องรักษาตัวอย่างไร

เจษฎา บัวบาล
19 ธันวาคม 2561
ภาพจาก https://isha.sadhguru.org/yoga/meditations/science-of-meditation/

No comments:

Post a Comment