Wednesday, September 26, 2018

สิ่งที่ได้จากการบวชเป็นเวลา ๘ ปี




ผมจะบรรยายถึงสิ่งที่ผมได้และไม่ได้จากการบวชอย่างเป็นรูปธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น ผมจึงไม่มีเจตนาที่จะสื่อว่าคนอื่นที่ได้ประสบสิ่งที่ต่างจากผมจะต้องผิดหรือเป็นการบวชที่ไร้สาระแต่อย่างใด

 

๑. ผมไม่เคยได้มรรคผลนิพพาน แม้จะบวชเป็นพระเกือบทศวรรษ เวลาที่ผมตั้งใจปฏิบัติธรรมจริงๆ น่าจะประมาณ ๒ ปี ผมเข้าพักตามวัดป่าและได้รับคำแนะนำจากพระวิปัสสนาจารย์หลายท่าน (บางท่านชาวพุทธเชื่อว่าท่านเป็นอรหันต์แล้ว) ขณะปฏิบัติ ผมเป็นหนึ่งในศิษย์ที่อาจารย์ชื่นชอบในความอุตสาหะ แต่ท่านก็ไม่เคยพยากรณ์ว่าผมบรรลุขั้นไหน


ตอนนั้นผมเชื่อด้วยซ้ำว่าผมบรรลุแล้ว ผมสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติได้อย่างละเอียด (ซึ่งตอนนั้นผมเชื่อว่าถูกต้อง) แต่ความเชื่อทั้งหมดก็สิ้นสุดลงเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยทางโลกที่เป็น secular `มากๆ นั่นไม่ใช่เพราะผมตบะแตกเพราะจีบสาว แต่เพราะการตรวจสอบตัวเองและตั้งคำถามกับทุกอย่างถูกบ่มเพาะขึ้น จนพบว่าผมเป็นคนธรรมดาที่มีกิเลสมากคนหนึ่ง แต่บทบาทของพระที่สอนสมาธิและองค์ความรู้ปริยัติที่มีบังตาผมไว้ "ขอบคุณอาจารย์เก่งๆ ที่มีกิเลสทั้งหลาย ที่ทำให้ผมตื่นครับ"

สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบคือ เมื่อทิ้งการปฏิบัติธรรม โดยที่ผมเลิกเชื่อศาสนา ไม่เชื่อเรื่องความทุกข์และการดับทุกข์ สิ่งนี้ทำให้ผมพยายามเข้าใจโลกมากขึ้น และมองว่าความทุกข์ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่เห็นต้องไปหาทางแก้อะไรให้พิเศษเลย กลายเป็นว่า สิ่งที่เข้ามาก็ไม่ใช่ความทุกข์อีกต่อไป ผมไม่ได้อ้างว่านี่คือการบรรลุอีกแบบนะ เพราะผมไม่สนใจที่จะบรรลุ และถ้ายังจะยืนยันตามหลัการพุทธ ผมคือคนมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งก็ยินดีรับครับ อิอิ

๒. ผมยังควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีพอ คนที่บวชเป็นพระมานานน่าจะถูกคาดหวังว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี ผมคนหนึ่งที่อย่างน้อยควบคุมไม่ได้ในขั้นความคิด (ปริยุฏฐานกิเลส) หลายครั้งผมอยากใช้มวยไทยที่เรียนมาเตะยอดหน้าอีกคนที่พูดไม่เข้าหูหรือคุกคามผมด้วยคำหยาบ แน่นอนว่าผมคุมไม่ให้ไปทำร้ายร่างกายเขาได้ แต่ถือว่ายังไม่ผ่านหากใจยังฟุ้งซ่านปล่อยวางไม่ลง

แต่ผมก็ไม่คิดว่าผมมีกิเลสที่ต้องกำจัดเหมือนเมื่อก่อนนะ แค่มันไม่พุ่งออกมาทางกาย ผมก็พอใจกับมันแล้ว และรู้สึกว่าการมีมันอยู่เป็นเพื่อน ทำให้ชีวิตผมมีรสชาติ กิเลสพวกนี้น่าจะเป็นตัวหล่อเลี้ยงและช่วยนิยามความเป็นมนุษย์ของผมครับ
๓. ผมไม่ได้เชื่อศาสนา อันนี้สำคัญมากและอาจพอมองเห็นเค้ามูลได้จากสองข้อข้างต้น ถึงแม้ไม่กล้ายืนยันว่าช่ำชองทุกศาสนา แต่กล้าพูดว่าผมเรียนรู้มากพอที่จะเข้าใจระบบคิดของแต่ละศาสนา สิ่งนี้ยืนยันได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยปริญญาตรีเกียรตินิยมด้านศาสนศึกษา (ที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยสงฆ์) ดีใจมากที่สุดท้ายการเรียนศาสนาไม่ได้ทำให้ผมจงรักภักดีกับศาสนา แต่ตั้งคำถามกับศาสนาแทน

สำหรับผม ศาสนามีประโยชน์ในหลายมิติ จะใช้คำแบบอาจารย์ธเนศ วงศ์ฯ ก็ต้องพูดว่า มัน Function ในแง่ของมัน ศาสนาช่วยให้คนจำนวนมากเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ศาสนาที่ถูกตีความผิดก็ทำให้สาวกรังเกียจคนที่คิดต่างได้เหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมครับ

ปัญหาของผมคือ ผมเชื่อว่าศาสนา (โดยเฉพาะพุทธ) เกิดขึ้นเพื่อเปลื้องพันธนาการของมนุษย์เพื่อให้เรามีเสรีภาพ ดังนั้น เราจึงศึกษาศาสนาเพื่อเรียนรู้และพัฒนาเสรีภาพของเรา ไม่ใช่ใช้ศาสนาเป็นพันธนาการตัวใหม่เพื่อรึงรัดเราและเชื่อว่า เราบรรลุธรรมแล้ว/เป็นสัมมาทิฏฐิ/กำลังดำเนินไปสู่ทางสวรรค์ แต่ไม่มีศักยภาพที่จะตั้งคำถามกับคำสอน ไม่ยอมรับฟังความเชื่อที่แตกต่าง และไม่พยายามหาเสรีภาพในแบบของตนเอง ได้แต่เดินไปตามทางที่เขาขีดไว้แล้วเท่านั้น

สรุปสั้นๆ ว่า การบวชเป็นเวลา ๘ ปี ทั้งในระบบการเรียนปริยัติและการปฏิบัติไม่ได้ทำให้ผมเป็นศรัทธาชนผู้จงรักภักดีได้ นี่ไม่ใช่ความผิดของใครครับ แต่เพราะมนุษย์มีธรรมชาติอันหนึ่งที่ต่างจากหุ่นยนต์คือ พิจารณาก่อนที่จะทำตามข้อมูลที่ถูกใส่ให้ ดังนั้น การที่ผมจะเป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ จึงไม่ควรโทษศาสนาหรือการเรียนครับ อิอิ

๔. ผมค่อนข้างสันโดษในด้านวัตถุ อันนี้อาจถือเป็นข้อดีข้อเดียวที่ได้จากการบวช การต้องกินอาหารบิณฑบาตที่เรากำหนดเองไม่ได้ น่าจะมีส่วนช่วยให้ผมเป็นคนกินอะไรก็ได้ ต่อให้ต้องซื้อกิน ก็ยังกินอะไรก็ได้ ลิ้นผมไร้ศักยภาพถึงขั้นที่แยกไม่ออกว่าแกงร้านนี้อร่อยกว่าร้านโน้น อิอิ

แม้แต่เสื้อผ้า การใช้ไตรจีวร (ผ้าพระ ๓ ผืน ซึ่งผมเพิ่มแค่สบงอีก ๑) ทำให้ไม่ได้ต้องการจีวรเพิ่ม แต่ไหนแต่ไรผมจึงไม่เคยอยากแย่งจีวรใหม่ๆ กับใคร ไม่ใช่เพราะเคร่งวินัยที่จะมีจีวรจำนวนมากไม่ได้ เเต่เพราะรู้สึกเสียเวลากับการเก็บรักษาเมื่อมีมากเกินจำเป็น

แม้ปัจจุบันจะใส่ชุดฆราวาสแล้ว ผมก็ยังมีเสื้อผ้าจำนวนน้อยมาก มาอยู่อินโด ๑ เดือนซึ่งผ้าราคาถูก ผมไม่เคยคิดจะไปหาซื้อมาเพิ่ม และไม่รู้สึกอายที่คนอื่นจะมองว่าทำไมมีผ้าน้อย (เพราะผมซักทุกวัน อิอิ) นอกจากนี้ ผมไม่คิดว่าจะค้องซื้อไอโฟน แมคบุ๊ก เป็นต้น แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจนะว่าความสันโดษนี้ได้มาเพราะบวชเป็นพระหรือเพราะยากจนกันแน่ อิอิ

ที่บอกว่าสันโดษด้านวัตถุ เพราะผมยังไม่พอเรื่องเรียน ยังอยากเป็นนักวิชาการชื่อดัง ทำงานวิจัยที่มีคุณภาพ พูดได้หลายภาษา เป็นคนมีความรู้และตรรกะดีที่เถียงกับใครก็ชนะ สิ่งนี้ในแง่ศาสนาจัดเป็นกิเลสครับ เพราะศาสนาสอนให้ละกิเลส แล้วทุกอย่างจะได้มาถ้าบรรลุธรรมพร้อมกับปฏิสัมภิทา

สิ่งที่นักศาสนาไม่เข้าใจนักวิชาการคือ มองว่าเขากำลังเพิ่มพูนกิเลส ความรู้ทางโลกไม่สามารถทำให้บรรลุธรรมได้ แท้จริงนักศาสนานั่นแหละที่พยายามแยกทางโลกออกจากทางธรรม เพราะความรู้ก็คือความรู้ ความรู้เป็นอันเดียวคือเกิดขึ้นแล้วทำลายความโง่เขลา (อวิชชา) นักวิชาการที่ดี เขาไม่ได้เรียนเพื่อเอาเปรียบคนอื่น แต่อย่างน้อยที่สุด ความรู้ใหม่ที่เขาได้มันช่วยทำลายความเขลาของเขา ซึ่งเราจะมองว่าความรู้ทางโลกไม่สิ้นสุดก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยชีวิตเขามีพัฒนาการนะ อิอิ

No comments:

Post a Comment