ศาสนาควรถูกพูดถึงทั้ง
2 มิติ
คือในแง่ตัวบทคำสอนซึ่งปรากฏในคัมภีร์และชีวิตประจำวันที่ปฏิบัติกัน
ปกติแล้วปัญหามักเกิดจากข้อหลังซึ่งได้รับการตีความอย่างเคร่งครัด ผมจะเสนอว่า
ไม่ว่าแต่ละศาสนาจะมีคำสอนที่ประเสริฐแค่ไหน แต่ในชีวิตจริง ศาสนิกที่เคร่งครัดมักรังเกียจผู้อื่นและหยุดใช้เหตุผลที่เมตตาต่อมนุษย์ที่ต่างไปจากตน
ชาวพุทธ ..
สองปีที่แล้วผมทำวิจัยในต่างประเทศและต้องอาศัยวัดพุทธของธรรมยุตแห่งหนึ่ง
ผมเปิดเผยกับเจ้าอาวาสแต่แรกว่าผมบวชในมหานิกาย (ซึ่งเป็นอีกนิกายหนึ่ง)
ท่านเองไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมได้รู้จักพระผึ้งอายุ 50
ปี เป็นนักปฏิบัติ
ท่านเป็นธรรมทูตแค่ชั่วคราวเท่านั้นและวางแผนจะกลับไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อที่วัดป่าทางภาคอีสาน
เพราะความที่ท่านเคร่งครัดวินัย
ชอบพูดแต่เรื่องปฏิบัติธรรม จึงไม่ค่อยมีพระสนทนากับท่าน
ผมเองในฐานะนักวิจัยก็เข้าหาทุกคนและรับฟังเพื่อจะทราบที่มาและวัตถุประสงค์ในการทำงานของแต่ละท่าน
รู้จักกันราว 2 อาทิตย์
ท่านดูเหมือนจะสนิทกับผมมากที่สุดเพราะพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ไปไหนก็จะชวนผมไปด้วย
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อถึงวันอุโบสถที่ต้องลงฟังปาฏิโมกข์
ท่านเรียกผมไปปลงอาบัติ
(กิจที่พระมักทำกันก่อนฟังปาฏิโมกข์) ผมกางหนังสือออกเพราะจำบทนั้นไม่ได้
เนื่องจากมหานิกายและธรรมยุตใช้ต่างกัน ท่านชะงักและรู้ทันทีว่าผมไม่ใช่พวกเดียวกับท่าน
ท่านจึงลุกไปปลงอาบัติกับพระอีกรูป พระไทยที่นั่งข้างๆ มองดูเหตุการณ์อยู่
จึงเรียมผมไปปลงกับท่าน บอกให้ผมว่าแบบมหานิกายได้เลย ส่วนท่านก็ว่าแบบธรรมยุต
เสร็จแล้วกระซิบว่า “ต่อไปถ้ามีอะไร ท่านมาทำกับผมนะ”
ไม่น่าเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับหลวงพ่อผึ้งสิ้นสุดลงง่ายๆ
เพียงเพราะความต่างของนิกาย ท่านเลี่ยงที่จะไม่คุยกับผมอีกเลย กรณีที่คุยกันเป็นวง
ก็จะชวนพูดเรื่องข้อดีของธรรมยุตและความหย่อนยานของมหานิกาย
ในฐานะที่อยู่วัดนั้นนานถึงสามเดือน ผมเชื่อว่าหลวงพ่อผึ้งเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริงๆ
ท่านพยายามทำตามวินัยอย่างมาก สิ่งที่รบกวนใจผมคงมีแต่เรื่องนั้นเรื่องเดียว
ชาวคริสต์ ..
ช่วงปี ค.ศ. 2015 ผมมีโอกาสรู้จักกับบาทหลวงซึ่งเป็นหัวหน้าคริสตจักรแห่งหนึ่งในภาคใต้
ท่านจบ ป.โท และเป็นคนเปิดใจมาก อาจารย์ที่มหาลัยชวนผมไปเยี่ยมชมกิจกรรมของโบสถ์คริสต์โดยขออนุญาตบาทหลวงท่านนั้นต่อหน้า
และผลก็คือ หลังจากนั้นหนึ่งเดือนผมก็ได้ไปดูกิจกรรมของเขา
วันนั้นมีพี่น้องชาวคริสต์มาร่วมสวดมนต์/ร้องเพลงราว
70 คน หลายคนเจอผมก็ยกมือไหว้ (อาจเพราะเคยเป็นพุทธมาก่อน)
บ้างก็ทักทาย และจำนวนหนึ่งพยายามไม่มองหน้า หรือมองด้วยความรังเกียจ
เพิ่งทราบตอนหลังว่า
เหตุที่ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจะได้ไปนั้น
เพราะบาทหลวงต้องไปปรึกษากับสมาชิกก่อน
และใช้เวลานานมากจึงจะทำให้เพื่อนสมาชิกเห็นดีเห็นงามด้วย ท่านบอกผมว่า “เป็นธรรมชาติที่คนเคร่งศาสนาจะมองว่าความเชื่อของตนถูกและรังเกียจคนอื่น
คนเหล่านี้ลืมไปว่าแท้จริงแล้วถ้าเราไม่เข้าหาคนที่เชื่อต่างออกไป แล้วเราจะเพิ่มจำนวนสมาชิกได้อย่างไร
การต้อนรับคนแปลกหน้าด้วยอัธยาศัยที่ดีต่างหากจึงจะสามารถทำให้เขาหันมาสนใจพระเจ้าของเราได้”
ชาวมุสลิม .. เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ปัตตานี
เธอนำเนื้อกุรบาน ซึ่งเป็นเนื้อที่เชือดผ่านพิธีกรรมของอิสลามมากินที่โรงอาหาร
เธอยื่นเนื้อนั้นให้ผมลองชิม แต่เพื่อนมุสลิมผู้ชายอีกคนซึ่งเป็นคนภาคกลางได้ห้ามไว้โดยบอกว่าเนื้อนั้นควรแบ่งให้เฉพาะมุสลิมเท่านั้น
เพื่อนผู้หญิงพยายามเถียง จนสุดท้ายผู้ชายก็ยอม แต่เพื่อความสบายใจ ผมจึงอ้างว่า “ไม่เป็นไรหรอก
ปกติผมไม่ค่อยชอบเนื้อวัวอยู่แล้ว”
ในช่วงของการละหมาดตอนเย็น
ทีมนักวิจัยจากมหาลัยซึ่งมีผม (เป็นพระ) อยู่ด้วยขออนุญาตเข้าไปดูขั้นตอนการละหมาด
ผู้นำได้อนุญาต แต่ชายแก่คนหนึ่งเดินมากระซิบว่า “ผู้นำท่านอนุญาตเพราะไม่กล้าปฏิเสธทีมอาจารย์
แต่โดยธรรมเนียมแล้ว ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เราไม่อนุญาตให้คนต่างศาสนาเข้า
โปรดเคารพธรรมเนียมนี้ด้วย”
ถึงจุดนี้เราอาจมองว่าคริสต์และอิสลามใจแคบ
ขอย้ำว่า นี่คือประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้พบ อาจมีที่อื่นๆ
ยินดีต้อนรับคนต่างศาสนาก็เป็นได้ และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
สิ่งนี้พบได้แม้แต่วัดพุทธครับ
ไม่นานมานี้เราทราบข่าวของโรงเรียนวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ที่เจ้าอาวาสขอให้นักเรียนมุสลิมถอดผ้าคลุมออกขณะมาเรียนหนังสือ
มูลนิธิมุสลิมยกรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพทางศาสนามายัน
แต่สุดท้ายรัฐธรรมนูญก็ต้องแพ้ พรบ.สงฆ์
ซึ่งให้อำนาจเจ้าอาวาสในฐานะหัวหน้าวัดและทำหน้าที่เหมือนเจ้าของวัดและโรงเรียน
ศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีจริงหรือไม่
ผมไม่ขอเถียง เพราะไม่ทราบว่าความดีคืออะไรกันแน่ อยู่ที่ใครจะนิยามเอา แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ
คนที่เคร่งศาสนาจำนวนมากไร้เมตตา
จะรักเพื่อนมนุษย์ก็ต่อเมื่อเขามาเชื่อและปฏิบัติแบบเดียวกับตนเท่านั้น
ศาสนาในมิตินี้จึงไม่ใช่สิ่งที่สร้างสันติในแบบที่อ้าง
หากแต่เป็นการสร้างตัวตน รูปแบบเฉพาะ เพื่อกีดกันคนอื่นออกไป
หรือต่อให้อยากเข้าหาเขา ก็มิได้เกิดจากความรัก แต่เพราะเชื่อว่าเขาผิด/โง่
จะต้องทำให้มาเชื่อแบบตน
สำหรับผมแล้ว
ความเมตตาจะเกิดไม่ได้จริง ตราบที่เราไม่สามารถรักคนอื่นได้โดยที่ปล่อยให้เขาเป็นแบบที่เขาเลือกครับ
เจษฎา บัวบาล
14 กันยายน 2561
No comments:
Post a Comment