Monday, August 27, 2018

มาเป็นพุทธแค่ในบัตรประชาชนกันเถอะ




เป็นพุทธแค่ในบัตรประชาชนในอดีตเคยถูกใช้เพื่อตำหนิคนที่ไม่เคร่ง/ไม่มีความรู้ด้านศาสนา ไม่เข้าวัดในวันพระ ปัจจุบันคำนี้เปลี่ยนแปลงไป เพื่อจะสื่อว่า ฉันไม่ได้เคร่งศาสนามากขนาดนั้น ก็แค่มองว่ามันเป็นมุมเล็กๆ ของชีวิต


แนวคิดนี้เติบโตมาพร้อมกับรัฐสมัยใหม่ที่ศาสนาเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ไม่ควรมีการบังคับให้เชื่อหรือทำพิธีกรรม แท้จริงศาสนาจะงดงามมากหากกลายเป็นเรื่องเสรีภาพ เพราะมนุษย์จะสามารถอ่าน/ตีความ หรือเข้าใจคำสอนในมุมมองของเราเอง และเราจะเลือกบางอย่างที่คิดว่าเข้ากับชีวิตเราได้ไปพัฒนาตัวเอง

เมื่อศาสนาเป็นเรื่องปัจเจกและถูกมองว่าเป็นองค์ความรู้อย่างหนึ่ง (ไม่ใช่ระบบศรัทธาที่ใช้บังคับให้ทำตาม / taboo) ก็หมายความว่า เราจะเรียนรู้และปฏิบัติตามศาสนาใดก็ได้ ทำนองที่ว่า ฉันสนใจเรื่องการพัฒนาจิต แต่ฉันไม่ใช่ศาสนิก” (spiritual but not religious: SBNR)

เราเติบโตมาผิดตรงที่ถูกบังคับให้นับถือศาสนาตามพ่อแม่ตั้งแต่วันแรกเกิดโดยไม่ได้เลือก การเลือกที่ดีควรเกิดขึ้นเมื่อเรามีวิจารณญาณและผ่านการเรียนรู้ทุกศาสนาแล้ว หรือใครจะไม่นับถือศาสนาอะไรก็ได้ เทียบกับการซื้อรถยนต์ เราจะได้รถที่ถูกใจและเหมาะกับการใช้งานไหมหากมีเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้นที่จะขายให้เรา?

การไม่มีสิทธิเลือกหรือการยอมไม่เลือกยังไม่เลวร้ายหากเราใช้ชีวิตเฉพาะในชุมชนที่ทุกคนเป็นแบบเรา แต่มันจะมีปัญหาทันทีที่เราต้องปะทะกับคนอื่นซึ่งเลือกต่างออกไปและเรารีบตัดสินว่าเขาผิดโดยไม่ได้ทำความเข้าใจความเชื่อแบบเขา ปัญหานี้พบในทุกศาสนาครับ ในที่นี้ผมจะยกตัวอย่างเฉพาะในหมู่ชาวพุทธเท่านั้น

การเปลี่ยนศาสนาไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจในทัศนะของพุทธ เพราะเปิดโอกาสให้พิสูจน์คำสอนก่อนที่จะเชื่อดังที่ปรากฎในกาลามสูตร แม้ในมาตริสูตร (อัง.ฉ.) จะพูดถึงการเปลี่ยนไปนับถือศาสดาอื่นเป็นโทษหนัก (อภิฐาน) เช่นเดียวกับอนันตริยกรรมคือ ฆ่าพ่อแม่เป็นต้นก็ตาม

แต่พระสูตรนี้อธิบายชัดว่า มันไม่ใช่การลงโทษด้วยการตัดสิทธิ์ได้มรรคผล แต่พูดถึงอริยบุคคลว่าหากบรรลุธรรมแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนศาสนา ประเด็นคือ ท่านหมายถึงคนที่บรรลุธรรมแล้ว ไม่ใช่พวกเราซึ่งเป็นคนทั่วไป หรือที่ไม่กล้าเปลี่ยนเพราะเชื่อว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว?

นี่เป็นแนวคิดเก่าเมื่อสองพันปีที่เเล้ว ที่เชื่อว่าการปฏิบัติหรือศึกษาศาสนาจะต้องมอบตนเป็นสาวกของอาจารย์ (ระบบมุขปาฐะ) ปัจจุบันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเเล้ว เพราะเราสามารถศึกษาศาสนาได้จากหนังสือและสื่อออนไลน์ และที่สำคัญ เราสามารถมองศาสนาว่าเป็นองค์ความรู้ที่วิพากษ์/ถกเถียงได้ เราจึงไม่ได้เรียนเพราะเชื่อในตัวอาจารย์หรือศาสดา แต่ฟังบรรยายของผู้นั้นแล้วใช้วิจารณญาณของตนเอง การเรียนปัจจุบันจึงไม่วางอยู่บนความเชื่อใครเพียงคนเดียว จึงไม่ต้องเปลี่ยนศาสนาเพราะไม่ได้ถวายตนกับศาสนาตั้งเเต่ต้น

พวกพุทธแท้ที่มีการศึกษาก็อยากชำระศาสนาด้วยการไม่ให้พระใช้เงินซึ่งผิดวินัยสงฆ์ พระก็ออกมาแย้งว่าต้องปรับตามยุคสมัย ความลักลั่นของทั้งสองฝ่ายคือ มองว่าตนกำลังปกป้องศาสนา ถ้าไม่มีคนแบบตนศาสนาก็จะเสื่อม ถ้าให้ยึดตามวินัยเดิม พระไม่ควรรับตำแหน่งราชการ (พระสังฆาธิการ) และถ้าจะปรับตามยุค ก็ควรยอมปรับวินัยเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้หญิงบวชภิกษุณีได้ด้วยครับ

เรื่องเหล่านี้เถียงกันได้ แต่ที่น่ากลัวคือพยายามผลักดันเพื่อนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่ให้พระทำเหมือนกันทั้งประเทศ การสร้างอำนาจทางศาสนาเช่นนี้ล้วนเป็นความพยายามของพุทธแท้ที่มีการศึกษา ไม่ใช่พวกร่างทรง คนเห็นผี พวกถวายน้ำแดงตามศาล หรือตาสีตาสาทำนาอยู่ในทุ่ง แสดงว่า พุทธปลอมยังเคารพเสรีภาพและให้เกียรติในความเป็นมนุษย์แก่คนอื่นมากกว่าพุทธแท้เสียอีก แต่ก็น่าสงสารที่คนเหล่านี้ถูกดูหมิ่นว่างมงายอย่างไม่รักษาน้ำใจกันเลย (ฮา)

บีตกงานและไม่สบายใจอย่างมาก ระหว่างเขาถือพวงดอกไม้ไปไหว้เจ้าแม่ตะเคียน กับ ถวายพวงดอกไม้กับพระประธานในโบสถ์ ต่างกันตรงไหน? พุทธแท้จะบอกว่ากรณีแรกงมงาย อย่างหลังเป็นการพึ่งพระรัตนตรัยซึ่งถูกต้อง ทั้งที่ความจริงคือ ทั้งเจ้าแม่ตะเคียนและพระรัตนตรัยเป็นตัวแทนของอานุภาพเร้นลับ (ผี / animism) ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจได้ในขณะนั้น

ศาสนาพุทธกลายเป็นสิ่งที่สูงส่งเพียงเพราะถูกบอกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งที่ศาสนาและวิทยาศาสตร์เป็นคนละเรื่อง เช่น อาหารที่ถวายพระแล้วถ้าฆราวาสไปจับเข้าต้องถวายใหม่ เข้าพรรษาเพราะพระจะไม่เดินเหยียบนาข้าว เพศหญิงไม่รู้จักพอในกาม ผู้หญิงเข้ามาบวชศาสนาจะเสื่อมเร็ว เบียดเบียนสัตว์จะทำให้ป่วย/เป็นโรค ฯลฯ มีอะไรที่พิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์บ้างครับ?

ปี 2560 พระในภาคใต้ถูกข้าราชการเมาเหล้าคนหนึ่งทำร้ายร่างกายและกระชากจีวรออกเพราะหาว่าท่านเป็นพระปลอมเพียงเพราะท่านปฏิเสธเงินที่แกถวาย สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกชอบศึกษา/ชอบทำบุญมักมีนิสัยตรวจสอบและด่าพระไปในตัว (คนไม่ทำบุญ ไม่เข้าวัดจะไม่มีนิสัยแบบนี้) นั่นเป็นเพราะศาสนาสอนให้เขาเป็นคนดีและต้องจัดการคนไม่ดีไปด้วย ต่างกับพวกไม่เคร่งศาสนา ที่ไม่มองว่าตนดี เลยไม่จำเป็นต้องไปจัดการใคร

มีการก่อตั้งองค์กรปกป้องพุทธและสมาพันธ์ชาวพุทธเพื่อปกป้องพระเเละด่าอิสลาม ผลงานที่พบได้ตามเพจคือ กล่าวหาว่ารัฐบาลและพรรคการเมืองต่างๆ ถูกอิสลามซื้อไปแล้ว มีการปกป้องพระแม้ท่านจะทำผิด เช่น ปลอมสัญชาติ และหากใครเสนอการตีความคำสอนอย่างอื่นซึ่งต่างจากที่ตนเชื่อ ก็จะใช้วิธีล่าแม่มด ใส่ร้ายว่าเป็นมุสลิมปลอมบวชเพื่อทำลายศาสนา องค์กรเหล่านี้อยู่ได้กับเงินบริจาคของชาวพุทธแท้ซึ่งอยากสะท้อนความเป็นคนดีกลุ่มหนึ่งที่ประสงค์จะปกป้องศาสนาและอยากให้พุทธเป็นศาสนาประจำชาติของไทยโดยไม่เคยพูดถึงรัฐ secular

เช่นเดียวกับนักปฏิบัติธรรม ที่เชื่อว่าสายครูอาจารย์ของตนถูกต้องและเหยียดหยามสำนักอื่นว่าผิดทาง พุทโธดีกว่าพองหนอ-ยุบหนอทั้งที่เป้าหมายคือให้มีสติอยู่กับตัวเหมือนกัน ถามจริงนะครับ ว่าใครกล้ายืนยันบ้างว่าตนเองปฏิบัติจนบรรลุแล้ว บางทีเราควรถามตัวเองนะ ว่าทำมา 10 ปีทำไมไม่บรรลุสักที ไหนบอกว่าสำนักตนดีจริง? แต่ต่อให้มั่นใจว่าตนบรรลุจริง เรื่องนี้ก็เป็นปัจเจกอยู่ดี นั่นหมายความว่า เราก็ตัดสินคนอื่นไม่ได้ว่าเขาผิด เพราะเราไม่รู้ว่าเขาบรรลุหรือไม่

นิชาเป็นคนไม่มีศาสนา เธอกินเบียร์เกือบทุกวัน แต่เป็นคนรักความสะอาด แยกขยะ (ขยะบางอย่างเช่นกระดาษจะถูกเก็บในที่สะอาดและนำไปรีไซเคิลได้) นิชาเปิดใจในการคุยทุกเรื่องเช่นเพศสภาพ ตรงกันข้ามกับ นาชิซึ่งเป็นสาวกของสำนักอบรมครูสมาธิแห่งหนึ่ง มักพูดคุยเรื่องศาสนา ไม่สนใจเรื่องขยะ/สิ่งแวดล้อม แม้น้ำจะเสียเพราะคนให้อาหารปลากันเยอะก็ยังไปให้อาหารเพื่อสะสมบุญไปใช้ชาติหน้า นาชิเชื่อว่าคนข้ามเพศเป็นพวกผิดปกติเพราะทำกรรมมามากในอดีตชาติ ซึ่งเธออ้างว่าร่ำเรียนพุทธศาสนามา

Alan Watts นักวิชาการด้านพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงเล่าว่า ครั้งหนึ่งมาเที่ยวกรุงเทพฯ ขณะยืนเลือกหนังสือในร้าน เขาหยิบหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่าน ชาวพุทธข้างๆ เห็นว่าเขาสนใจศาสนาจึงถามว่า คุณปฏิบัติธรรมบ้างหรือเปล่า?” แกตอบว่า ปฏิบัติแบบเซนเลยถูกสวนกลับมาด้วยความโกรธว่า คุณไม่รู้หรอ ว่าสมาธิพวกนั้นมันผิดทาง ที่ถูกต้องคือสติปัฏฐานแบบเถรวาทเท่านั้น เป็นทางเดียวที่นำไปสู่การพ้นทุกข์” Alan บอกว่าแกได้แต่ตลกในใจ

ดังที่ผมว่านั่นแหละครับ ยึดมั่นในสายตนเองและเหยียดหยามคนอื่นเป็นนิสัยพื้นฐานของคนเคร่งศาสนา และความคับแคบเช่นนี้ ทำให้เขาไม่สามารถมองโลกในมิติอื่นได้ ต่างกับคนที่มองว่าศาสนาเป็นศาสตร์อันหนึ่งที่จะหยิบเอาตรงไหนไปปฏิบัติก็ได้และตั้งคำถาม/พิสูจน์กันก่อนที่จะเชื่อได้

ดังนั้น ปล่อยให้การเป็นชาวพุทธอยู่แค่ในบัตรประชาชนเถอะครับ อย่าเอามันมาสร้างนิสัยตำหนิคนอื่นโดยที่ไม่ศึกษาเขาให้ดีเสียก่อน และหากการเคร่งศาสนาทำให้เรามองคนอื่นว่าเป็นมนุษย์น้อยลงจนต้องทำร้ายเขา ก็ทิ้งศาสนาและหันมารักเพื่อนมนุษย์ก่อน บางทีการเป็น spiritual อาจเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้โลกของศาสนาเพิ่มขึ้นและพัฒนาชีวิตได้หลายทางขึ้นก็ได้นะ

เจษฎา บัวบาล
15 สิงหาคม 2561
เผยแพร่ครั้งแรกในเว็บไซด์ animisticbeleiver.wordpress

No comments:

Post a Comment