Saturday, May 18, 2019

อิสลามในอินโดนีเซียเผยแพร่ด้วยสงครามจริงหรือ



การมองว่าศาสนาใช้สงครามในการเผยแพร่น่าจะมาจากหลักคิดที่ว่า ศาสนานั้นได้เข้าถึงชนชั้นนำก่อน จากนั้นจึงใช้อำนาจในการบังคับหรือไล่ฆ่าผู้ซึ่งไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาตาม เพราะหากศาสนาที่ใช้คมดาบนั้นเกิดจากการรวมกลุ่มกันของผู้ศรัทธาเล็กๆ ต้องถูกอำนาจรัฐซึ่งนับถือศาสนากระแสหลักกวาดล้างเป็นแน่ ปัญหาหลักของการเชื่อว่าศาสนาเติบโตจากชนชั้นนำแล้วไหลไปสู่ชาวบ้าน ได้มองข้ามการเติบโตของศาสนาผ่านวิถีชีวิตและปฏิสัมพันธ์ของชาวบ้านกับผู้มาเยือนด้วยกันเอง


การที่นักวิชาการพุทธไทยจะเชื่อเช่นนั้นด้วยอาจไม่แปลกนัก เพราะประวัติศาสตร์ของเถรวาทสมัยพระเจ้าอโศกในอินเดียก็ถูกเล่าเช่นนั้น คือพระองค์หันมานับถือศาสนาพุทธและส่งเสริมกิจการศาสนาจนทำให้พุทธเติบโต ทั้งที่จารึกในเสาอโศกศิลาที่ 12 ระบุชัดว่าพระองค์ทรงเป็นกลางทางศาสนา (พระพรหมคุณาภรณ์, 2552, น. 158-159) แน่นอนว่าการเล่าเช่นนั้นอาจมุ่งผลทางการเมือง คือผู้นำที่ทรงธรรมควรเอาอย่างพระเจ้าอโศกและสนับสนุนศาสนาพุทธให้เจริญรุ่งเรือง

อิสลามในแหลมมาลายูเองก็มักถูกกล่าวหาว่าเติบโตเพราะทำสงคราม คือสุลต่านหันมาศรัทธาและบังคับให้ฆ่าคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาตาม โดยสามัญสำนึกแล้ว มนุษย์ไม่สามารถรัก/เคารพศาสนาที่ฆ่า (หรือบังคับว่าจะฆ่า) ครอบครัวของตนได้ และหากจำต้องยอมต่ออำนาจนั้นจริง เขาก็จะออกจากศาสนานั้นทันทีเมื่อมีอิสระ แท้จริงแล้วมีงานวิชาการยืนยันว่าศาสนาอิสลามในแหลมมลายูเติบโตจากพ่อค้าทางเรือซึ่งเป็นชาวอาหรับ/จีน เผยแพร่ด้วยการสร้างเครือข่ายทางการค้าและการแต่งงาน อิสลามจึงขยายจากชาวบ้านจนเข้าสู่ราชสำนัก (Ishak & Abdullah, 2012, p. 59) ตัวอย่างนี้ชวนให้มองการเติบโตของศาสนาจากล่างขึ้นข้างบนได้ดีทีเดียว 

ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ (2550) อธิบายการล่มสลายของพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย (อาณาจักรมัชปาหิต) ว่าเป็นเพราะมุสลิมเข้ามามีอำนาจช่วงคริสตศตวรรษที่ 14 (1930) ได้โค่นล้มกษัตริย์พุทธและสถาปนารัฐสุลต่าน จากนั้นจึงใช้สงครามในการเผยแผ่ศาสนาจนทำให้หลายเกาะในอินโดนีเซียต้องหันมานับถือศาสนาอิสลามเพราะเกรงกลัวอำนาจ ผู้ที่ไม่อยากเปลี่ยนศาสนาจึงต้องหนีไปอยู่เกาะบาหลี (ทฤษฎีเดียวกับไทยที่หนีร่นจนถึงชายฝั่งทะเล แทรกโดยผู้เขียน) ข้อเขียนนี้มีความผิดพลาดมากตรงที่ให้ความสำคัญกับศาสนามากเกินไป แถมยังเป็นศาสนาที่ผ่าน mindset ที่เกลียดกลัวอิสลาม น่าเสียดายที่งานของทวีวัฒน์เป็นการเขียนลง หนังสือพิมพ์มติชน จึงไม่ได้ทำให้เป็นวิชาการและไม่ปรากฎการอ้างอิง

ข้อเท็จจริงก็คือ ผู้คนในอาณาจักรมัชปาหิตและดินแดนรอบข้างไม่ได้เป็นพุทธ-ฮินดูเพียวๆ แบบที่เข้าใจ เพราะหลักฐานระบุว่าดินแดนแถบนี้เป็นที่เดินทางมาค้าขายของคนหลายเชื้อชาติ (cosmopolitan) มุสลิมเองก็อยู่ที่นี่มานาน หลักฐานหลุมฝังศพของสตรีขาวมุสลิมซึ่งเป็นบุตรของ Maimun มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1082 หรือหลุมศพของสุลต่าน Sulaiman bin Abdullah bin al-Besir มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1211 (ทวีศักดิ์ เผือกสม, 2553, น. 34-35) การตัดประวัติศาสตร์แบบศตวรรษและอำนาจทางการเมืองเชิงศาสนาแบบแข็งทื่อ เช่น ศตวรรษที่ 12 อาณาจักรพุทธรุ่งเรือง และต่อมาศตวรรษที่ 14 มุสลิมเข้ามาฆ่ากษัตริย์พุทธและอิสลามก็เติบโต ทำให้ไม่เห็นความเป็นพลวัตและความหลากหลายของผู้คนในดินแดนนี้ ซึ่งงานของทวีศักดิ์ เผือกสม (2553, น. 43)  ก็ยืนยันว่า พัฒนาการของอิสลามได้ใช้เวลาราวสามศตวรรษ (13-16) กล่าวคือ การเผยแผ่ศาสนาก็ต้องใช้เวลาหลายร้อยปี และแน่นอนว่านั่นคือการชักจูงเปลี่ยนใจผู้คน ควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์ผ่านการค้าและแต่งงาน ไม่ใช่การใช้สงครามบังคับศรัทธา

การทำสงครามกันระหว่างแคว้นต่างๆ ในศตวรรษที่ 13 ถือเป็นเรื่องปกติ นั่นไม่ใช่สงครามศาสนา แต่เป็นสงครามแย่งยิงอำนาจการค้าขายหรือควบคุมท่าเรือ นั่นคือมีการทำสงครามกันระหว่างเจ้าผู้ปกครองต่างศาสนาและมุสลิมด้วยกันเอง เช่นเดียวกับ ไทย พม่า ลาวและกัมพูชา (ซึ่งอ้างว่านับถือพุทธ) ต่อสู้เพื่อแย่งดินแดนหรือผู้คนกัน ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่เป็นการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งแน่นอนว่า ศาสนาก็ยังทำงานไปด้วยการกระจายคำสอน/ความเชื่อผ่านกิจกรรมของคนซึ่งปรับเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรม นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ย้ำว่า เราไม่ควรมองศาสนาโดยปราศจากมิติอำนาจอื่นๆ

อิสลามในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงศตวรรษที่ 13-16 มีความหลากหลายมาก ความเป็นอิสลามไม่ได้เข้มข้นในแบบที่เข้าใจ คนจำนวนมากในหมู่เกาะโมลุกกะแม้จะเป็นมุสลิมมาเป็นครึ่งศตวรรษแล้ว (ราวศตวรรษที่ 16) ก็ยังไม่ได้ทำสุนัต (ทวีศักดิ์ เผือกสม, 2553, น. 43) และหลักฐานที่สืบทอดมาจนปัจจุบันคือ สุลต่านยอกยาการ์ต้า ซึ่งยังปกครองด้วยระบอบเดิม อันเป็นผลจากการร่วมกันต่อสู้เพื่อประกาศเอกราช (อินโดนีเซียใช้ความเป็นชาตินิยมต่อสู้กับเจ้าอาณานิคม มิได้หลอมรวมคนด้วยการใช้ศาสนาอิสลามเพื่อต่อสู้กับคริสต์/ฝรั่ง) เมื่อได้รับเอกราช รัฐบาลอินโดนีเซียก็ยังเปิดโอกาสให้เมืองยอกยาการต้าได้ดำรงการปกครองแบบสุลต่านของตนต่อไป

ที่น่าสนใจคือ ภายในราชวังยอกยาการ์ต้ายังมีการประกอบพิธีแบบชวาพื้นเมือง มีความเชื่อเรื่องสิ่งเร้นลับ และสตรีภายในราชวังไม่มีการคลุมผมแบบมุสลิม เพราะสุลต่านอยากให้ยอกยาการ์ต้าดำรงอยู่ด้วยวัฒนธรรมชวาเดิม ไม่ใช่ศาสนาอิสลาม และจากการรายงานของ BBC พบว่า มีความพยายามที่จะให้พระราชกุมารีขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ปกครองคนต่อไป ซึ่งอาจเป็นเรื่องไม่ปกตินักที่จะเอาผู้หญิงมาเป็นผู้นำในทัศนะอิสลาม (BBCTHAI, 2018)

จะเห็นได้ว่า ศาสนามักถูกเอามาใช้ในบางมิติเท่านั้น มุสลิมแต่ละท้องถิ่นก็แตกต่างกัน ฉะนั้นการเอาภาพมุสลิม ISIS ที่ฆ่าคนด้วยความโหดร้ายมาทำความเข้าใจอิสลามในดินแดนอื่นจึงให้ภาพที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง และเราจึงไม่ควรเหมารวมว่าอิสลาม (รวมทั้งศาสนาอื่นๆ) ต้องเป็นเหมือนกันโดยปราศจากการปรับตัวตามท้องถิ่น และนี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่นักวิชาการจะต้องคำนึงถึงการค้นคว้าเอกสารที่รอบด้านเพื่อป้องกันการเหมารวมและไม่มองศาสนา (รวมทั้งเรื่องอื่นๆ) จากมุมมองด้านบนโดยละเลยปฏิสัมพันธ์ของชาวบ้าน

ปรับปรุงจากบทความ วิธีวิจัยด้านศาสนา: กรณีศึกษาของพุทธในไทย อินโดนีเซียและญี่ปุ่น. วารสารมานุษยวิทยาศาสนา, (1)1: 77-104 (2019). โดย เจษฎา บัวบาล อ่านวารสารฉบับเต็มได้ ที่นี่

อ้างอิง
BBCTHAI. (2018). สุลต่านยอกยาการ์ตา: การปฏิวัติเพื่อให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ในราชวงศ์โบราณ. เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2562 จากเว็บไซด์ https://www.bbc.com/thai/international-44338086
Ishak, M & Abdullah, O. (2012). Islam and the Malay World: An Insight into the Assimilation of Islamic Values. World Journal of Islamic History and Civilization, 2(2): 58-65.
ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์. (2550). ศาสนากับสังคมการเมืองในอินโดนีเซีย. หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2550 หน้า 6.
ทวีศักดิ์ เผือกสม. (2553). การทำอิสลามให้เป็นชวา. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ภายใต้ชุดโครงการ “ความสัมพันธ์ไทยกับโลกอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์.


BBCTHAI. (2018). สุลต่านยอกยาการ์ตา: การปฏิวัติเพื่อให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ในราชวงศ์โบราณ. เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2562 จากเว็บไซด์ https://www.bbc.com/thai/international-44338086

Ishak, M & Abdullah, O. (2012). Islam and the Malay World: An Insight into the Assimilation of Islamic Values. World Journal of Islamic History and Civilization, 2(2): 58-65.

ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์. (2550). ศาสนากับสังคมการเมืองในอินโดนีเซีย. หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2550 หน้า 6. 

ทวีศักดิ์ เผือกสม. (2553). การทำอิสลามให้เป็นชวา. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ภายใต้ชุดโครงการ ความสัมพันธ์ไทยกับโลกอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์.

 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (2552). จารึกอโศก: รัฐศาสตร์แห่งธรรมาธิปไตย. สมุทรปราการ: สำนักพิมพ์ผลิธัมม์.

ภาพจาก https://catatanwongndeso.wordpress.com

No comments:

Post a Comment